ความจำเป็นของประชาชาติในการปลูกฝังสั่งสอนและยกระดับคุณภาพเยาวชนหนุ่มสาว

หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ(หรือออตโตมัน)แล้ว
ประเทศคริสต์ที่ได้วางแผนและพยายามล้มระบบคิลาฟะฮฺดังกล่าวทั้งหลาย ประเทศตะวันตกต่างก็คิดว่าศาสนาอิสลามนั้นได้จบสิ้นแล้ว
และมุสลิมจะไม่มีวันลุกขึ้นมายืนหยัดได้ต่อไปอีก

ซึ่งแท้จริงแล้ว ความพยายามของพวกเขานั้นยาวนานมากกว่าหนึ่งศตวรรษ  โดยเริ่มจากการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสต่อประเทศอียิปต์และจบลงด้วยการประชุม “โลซาน”
อันเป็นการประชุมที่ประเทศมหาอำนาจได้บังคับให้ยกเลิกระบบคีลาฟะฮฺซึ่งเป็น ข้อแม้ในการรับรองอิสรภาพของประเทศตุรกี
หลังจากที่ตุรกีถูกทำลายล้างโดยสงครามที่ได้ถูกวางแผนมาเพื่อขัดขวางการเป็น มหาอำนาจของตุรกี

ประเทศคริสต์ไซออนิสต์เหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่ทำลายระบบการเมือง(ซึ่งหมายถึงการไม่มีอำนาจรัฐที่คอยปกป้องผลประโยชน์ของประชาติอิสลามแล้ว)เท่านั้น
แต่ยังได้พยายามทำลายศรัทธาและความเป็นอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมุสลิม ในทั่วทุกมุมโลกที่อยู่ภายใต้ศาสนาอันเดียวกัน กิบลัตและอิบาดะฮฺอันเดียวกัน
โดยการสร้างระบบศาสนาใหม่ภายใต้แนวคิดความเจริญและความทันสมัยให้กับมุสลิม (ระบบแบ่งแยกอาณาจักรออกจากศาสนจักรหรือเซอร์คิวล่า)
ซึ่งระบบนี้ทำให้มุสลิมคิดว่าพวกเขาได้ยึดมั่นในศาสนาที่ถูกต้องแล้ว จนกระทั่งแนวคิดนี้ได้แบ่งแยกศาสนาออกจากการปกครองและเศรษฐกิจ
และจำกัดศาสนาให้เป็นเพียงเรื่องของการทำอิบาดะฮฺ อีกทั้งยังหันเหมุสลิมออกจากการให้ความสำคัญกับด้านอื่นๆของศาสนา
เช่น มุอามะลาต(การปฏิบัติซึ่งกันและกัน) จีนายาต(ระบบการการลงโทษ) การเมืองและอื่นๆ

                          หลังจากการล่มสลายด้านการเมืองการปกครอง ตามด้วยการล่มสลายทางด้านความศรัทธา(อะกีดะฮฺ) จรรยามารยาท 
    รวมไปถึงแนวคิดและสังคม ซึ่งเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนแล้วว่า ดังกล่าวนี้เป็นแผนการของกลุ่มมหาอำนาจในการที่จะทำให้สังคมมุสลิมมีแบบแผนตามอย่างตะวันตกในทุกๆด้าน

ไม่เพียงเท่านั้น แต่แผนการดังกล่าวยังได้พยายามเผยแพร่และชักจูงมุสลิมในประเทศอิสลามให้ นับถือศาสนาคริสต์
ซึ่งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ดังกล่าวเป็นแผนอันสกปรกเลวร้ายคล้ายกับแผนการล่าอาณานิคม ซึ่งสองสิ่งนี้(การเผยแพร่คริสต์และการล่าอาณานิคม)เปรียบเสมือนเป็นสิ่งเดียวกัน

และที่ใกล้เคียงกับแผนในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ดังกล่าวคือ ประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ยังมีแผนการด้านวัฒนธรรมในการดึงดูดสมองและแนวคิดของมุสลิม
โดยการเปลี่ยนแปลงแนวคิดให้หันเหไปจากหลักการอันบริสุทธิ์(นั่นคืออัลกุรอ่านและซุนนะฮฺของท่านศาสดา)
จนเกิดแนวการศึกษาบูรพาคดี(นั่นคือการศึกษาวัฒนธรรมชาวตะวันออกหรืออิสลามโดยชาวตะวันตก)
ซึ่งได้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยของประเทศอิสลามเป็นอย่างมากทั้งในด้านผู้ ศึกษาเองและการวิจัยต่างๆ 
นอกจากนี้แนวคิดนี้ยังได้ถูกยกสถานะขึ้นในแวดวงการแนะแนวทางวิชาการในทวีปต่างๆจนกลายเป็นสิ่งที่ควบคุมและอยู่เหนือแนวคิดอิสลามที่ถูกต้อง

และด้วยสามสิ่งนี้(การล่าอาณานิคม,การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และแนวคิดบูรพาคดีศึกษา)
ทำให้ประเทศอิสลามต้องตกอยู่ภายใต้การยึดครองโดยประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ ทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง ด้านความศรัทธา(อะกีดะฮฺ) และด้านลักษณะแนวคิด

แนวคิดกุฟรฺ(การปฎิเสธศรัทธาอัลลอฮฺ)ได้แผ่ขยาย อย่างเชิดหน้าชูตาและเปิดเผย
นอกจากนี้ยังใช้การหลอกลวงและกลอุบายต่างๆไปทั่วทุกมุมโลก
โดยใช้อำนาจบารมีอันเป็นที่เกรงกลัวของมุสลิมทั่วโลกหรือแม้แต่ใช้บุคคลสำคัญของสังคมมุสลิมในการหลอกล่อมุสลิมว่าผู้ที่ดำเนิน
การหลอกลวงและวางกลอุบายต่างๆนั้นแท้จริงแล้วเป็นฝีมือของผู้นำมุสลิมเอง เพื่อที่จะทำให้การต่อต้านนั้นเบาบางลง
และทำให้แผนการของพวกเขาดำเนินไปได้โดยปราศจากการขัดขวางหรือการเผชิญหน้าใดๆจากพวกมุสลิมเอง

เมื่อใดที่ประชาชาติได้พยายามลุกขึ้นต่อสู้เพื่อ ที่จะต่อต้านการล่าอาณานิคมอัน อันเป็นสาเหตุของความเสียหายทางเศรษฐกิจ
และความตกต่ำทางสังคมและการการเมืองนั้น ประเทศ ล่าอาณานิคมเหล่านี้ก็สามารถที่จะควบคุมและหยุดยั้งการเคลื่อนไหวนั้นๆได้
จนทำให้ไม่มีการลุกฮือใดๆเกิดขึ้นเว้นแต่จะถูกสยบหรือถูกทำลายภายใต้การกดดันของมหาอำนาจดังกล่าว
จนทำให้ประเทศอิสลามต่างๆต้องยอมแพ้และยอมอ่อนข้อต่อประเทศเหล่านั้นด้วยรูป แบบใหม่อันได้แก่การอยู่ภายใต้ม่านกฎหมายระหว่างประเทศ
เช่น ประชาคมโลก ตลอดจนสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคง
ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของประเทศสมาชิกถาวรเพียงไม่กี่ประเทศ (สหรัฐอเมริกา,รัสเซีย,ฝรั่งเศส,อังกฤษ และจีน)              

สภาพการณ์หลังจากการล่าอาณานิคมนั้นไม่ได้แตกต่างกับสถานการณ์ก่อนและหลังจากที่ประเทศอิสลามต่างๆได้เอกราช
ยิ่งไปกว่านั้นประเทศอิสลามสมัยการล่าอาณานิคมนั้นยังพอที่จะมีอิสรภาพเป็นของตัวเอง แต่หลังจากสิ้นสุดสมัยการล่าอาณานิคมแล้วประเทศอิสลามกลับอยู่ภายใต้แนวคิด
อะกีดะฮฺและลอกเลียนการกระทำและการดำเนินชีวิตหรือแม้แต่จรรยามารยาทและค่านิยมของผู้อื่น

สถานการณ์เช่นนี้เป็นที่น่าเศร้าสำหรับคนที่มีความหวงแหนต่อประชาชาติ แต่กลับเป็นสิ่งที่น่ายินดีสำหรับคนที่ชอบเลียนแบบผู้อื่น
จนกระทั่งคนเหล่านั้นได้ประกาศตัวและแสดงธาตุแท้ของพวกเขานั่นคือ การเป็นมุนาฟิกที่ร้ายกาจหรือแม้กระทั่งการปฏิเสธศรัทธาอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ศาสนาอิสลามยังได้รับการต่อต้านจากผู้นำประเทศมุสลิมเหล่านั้น แต่ไม่ได้ถูกต่อต้านจากประเทศจักรวรรดินิยมอื่นๆ
นอกจากนี้พวกมุนาฟิกเหล่านั้นยังได้เก็บเกี่ยวทำลายส่วนที่ยังพอหลงเหลืออยู่ของศาสนา จนมนุษยชาติคิดว่าอิสลามนั้นกำลังจะตาย
แม้กระทั่งเมื่อเดินอยู่ในเมืองใหญ่ของประเทศมุสลิมก็ไม่เห็นความแตกต่างของเมืองมุสลิมกับเมืองกาฟิร

แต่ภายใต้สถานการณ์อันแสนเจ็บปวดและหมอกควันอันหนาทึบกำลังแพร่กระจายไปทั่วทุกสถานที่และภายใต้ความมืดมิดนี้
ยังมีแสงสลัวๆอยู่ ซึ่งมนุษยชาติคิดว่ามันเป็นแสงของดาวดวงเล็กๆที่อยู่ไกลโพ้นจนไม่สามารถส่องสว่างโลกนี้ได้
แต่แสงนี้กลับใหญ่ขึ้นๆจนเป็นแสงอันสมบูรณ์ และนั่นคือแสงสว่างอันเจิดจ้าของอิสลาม
ซึ่งได้หวนกลับมาในภาวะที่มีการปฏิเสธ(กุฟรฺ)และการฝ่าฝืนหลักการอิสลามอย่างแพร่หลาย
เพื่อที่จะเตือนมนุษยชาติว่าแสงสว่างของเอกองค์อัลลอฮฺนั้นจะยังคงอยู่ต่อไปกับคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า

وَيَأْبَى اللّه ُ إِلاَّ أَن يُتِمَّ نُورَهُ وَلَوْ كَرِهَ الْكَافِرُونَ ﴿٣٢﴾

                    และอัลลอฮฺจะไม่ทรงยินยอมนอกจากจะแพร่ให้แสงสว่างของพระองค์บริบูรณ์ถึงแม้ว่าพวกปฏิเสธศรัทธาจะชิงชังก็ตาม (9:32)       

                    เสียงตะโกนตักเตือนได้ดังขึ้นทุกๆส่วนของโลกจากกะอฺบะฮฺแห่งนครมักกะฮฺ จากมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ตลอดจนทุกประเทศอิสลามที่มีเสียงอะซาน
                               และแม้กระทั่งหอคอยโบสถ์คริสต์ในยุโรปและอเมริกา(หลังจากที่โบสถ์เหล่านั้นได้ถูกทอดทิ้งจนถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิดแทน)

นั่นคือแสงสว่างแห่งอิสลาม ที่สว่างเจิดจ้าซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีใครรู้ว่าได้เริ่มต้นเมื่อใดแต่เมื่อมันส่องแสงสว่างแล้วก็ไม่มีอำนาจใดจะสกัดกั้นหรือขัดขวางการแพร่กระจายของมันได้
มันเปรียบเสมือนกับการสร่างของประชาชาติอิสลามจากความเมามายหลายทศวรรษ หรือเปรียบเสมือนการฟื้นจากการหลับใหลมาเป็นเวลาหลายปี
และเสมือนการรู้สึกตัวจากการเผลอไผลเป็นเวลานาน แต่กระนั้นมันก็เป็นการตื่นตัวที่มาพร้อมกับความโกรธ
เป็นการกลับมาพร้อมกับการปฏิวัติและการคืบคลานไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
จนกระทั่งวันนี้ การกลับมาในครั้งนี้ได้ทำให้โลกแปลกใจและปลุกประชาชาติให้ฟื้นขึ้นจากความตาย
บรรดาคนหนุ่มสาว คนชรา เยาวชน สตรีของประชาชาติต่างก็ตื่นตัวและลุกขึ้นสู้เพื่อสนับสนุนการกลับมาดังกล่าว ด้วยความสามารถที่มีอยู่ของแต่ละคน
มันเป็นการตื่นตัวของประชาชาติโดยรวมที่แม้แต่บรรดาผู้หยิ่งยโสทั้งหลายต้องน้อมรับ และมันได้กลายเป็นความจริงที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้นอกจากผู้ดื้อรั้นเท่านั้น
สมดังที่พระองค์ได้ตรัสว่า

(وأن الله موهن كيد الكافرين)
ความว่า และแท้จริงนั้น อัลลอฮคือผู้ที่ทำให้อุบายของพวกปฏิเสธศรัทธาอ่อนแอลง